Monday, April 5, 2010

ผักกาดหัว


ผักกาดหัวเป็นพืชผักที่ปลูกเพื่อบริโภคส่วนของรากที่ขยายใหญ่ขึ้น เนื้อในสีขาว ใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารประเภทแกงจืด

การปลูก

ระยะปลูก
หว่านโดยใช้อัตราเมล็ดพันธ์ 2-3 กิโลกรัม/ไร่ ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ ระยะระหว่างหลุมห่างกันประมาณ 25 เซนติเมตร ระยะระหว่างแถวห่างกันประมาณ 30 เซนติเมตร
การเตรียมดิน
ไถดินให้ลึกประมาณ 30-40 เซนติเมตร ตากดินไว้ 1-2 อาทิตย์ แล้วย่อยดินให้ละเอียด หว่านปูนขาวในอัตรา 100-300 กิโลกรัม/ไร่ ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก อัตรา 2,000 กิโลกรัม/ไร่ ปุ๋ยสููตร 15-15-15 อัตรา 30-50 กิโลกรัม/ไร่ คลุกเคล้าให้ทั่วแล้วยกแปลงให้สูงประมาณ 30 เซนติเมตร กว้าง 120 เซนติเมตร
วิธีปลูก
1. วิธีหยอดเมล็ด หลังจากเตรียมดินแล้วให้ทำหลุมเล็กๆ ตามระยะปลูกที่กำหนดไว้ หยอดเมล็ดในหลุม หลุมละประมาณ 3 เมล็ด กลบดินหนาประมาณ 0.5 เซนติเมตร รดน้ำให้ชุม แล้วคลุมฟางแห้งหรือหญ้าแห้งเพื่อช่วยรักษาดินในระยะแรก หลังต้นกล้าออกประมาณ 15 วัน หรือมีใบจริงประมาณ 2-3 ใบ ให้ถอนแยกหลุมละ 1 ต้น
2. วิธ๊หว่าน หว่านให้ทั่วแปลงอย่างสม่ำเสมอ รดน้ำให้ชุ่มแล้วคลุมฟางแห้งหรือหญ้าแห้งเพื่อช่วยรักษาดินในระยะแรก หลังต้นกล้างอกประมาณ 15 วัน หรือมีใบจริงประมาณ 2-3 ใบให้ถอนแยกต้นให้ห่างกันตามระยะกำหนด

การดูแลรักษา
การให้น้ำ
ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ และเพียงพอทั้งเช้า-เย็น ในระยะใกล้ดก็บเกี่ยว 7-10 วัน ควรหยุดการให้น้ำเพราะจะทำให้หัวผักกาดแตกเป็นรอย
การใส่ปุ๋ย
ปุ๋ยที่เหมาะสมคือปุ๋ยสูตร 13-13-21 หรือ 15-15-15 ใส่ในอัตรา 50-100 กิโลกรัม/ไร่ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน การใส่ให้แบ่งใส่2ครั้ง ครั้งแรกครึ่งหนึ่งใส่เป็นปุ๋ยรองพื้น แล้วพรวนดินกลบลงในดิน ครั้งที่สองใส่อีกครึ่งหนึ่งเมื่อต้นกล้าอายุประมาณ 20-25 วัน โดยใส่แบบโรยข้างต้นแล้วพรวนดินกลบ นอกจากนี้ในระยะเจริญเติบโตอาจใส่ปุ๋ยเสริม เช่น ยูเรีย หรือแอมโมเนียมไนเตรท อัตรา 10 กิโลกรัม/ไร่
การเก็บเกี่ยว
มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 45-60 วัน ถ้าถึงอายุการเก็บเกี่ยวแล้วให้รีบเก็บเกี่ยวทันที อย่าปล่อยเกินอายุ เพราะจะทำให้คุณภาพของหัวลดลง

การป้องกันกำจัดศัตรูพืชโดยชีววิถี

ชนิดศัตรูพืช - เพลี้ยอ่อน ด้วงหมัดผัก เสี้ยนดิน
การป้องกัน - ฉีดพ่นด้วยสารสะเดา หรือ BT (โนโวดอร์) ฉีดพ่นเมตาโรเซียมที่ดิน

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือบางกอก รายสัปดาห์
รูปจาก google.com

Friday, March 26, 2010

มะเขือยาว/มะเขือม่วง

มะเขือยาว/มะเขือม่วงเป็นพืชผักเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งที่มีอนาคต เนื่องจากปลูกง่าย เก็บเกี่ยวผลผลิตได้นานและปัจจุบันสามารถส่งออกได้

การปลูก
ระยะปลูก
ระหว่างต้น 80 เซนติเมตร ระหว่างแถว 100 เซนติเมตร
การเตรียมดิน
ไถดินให้ลึก 30-40 เซนติเมตร ตากดินไว้ 7-10 วัน ย่อยดินให้ละเอียด หว่านปูนขาวในอัตรา 100-200 กิโลกรัม / ไร่ ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก อัตรา 2,000 กิโลกรัม/ไร่ และใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 30 กิโลกรัม/ไร่ คลุกเคล้าในแปลง ยกแหลงให้สูงประมาณ 30 เซนติเมตร กว้าง 120 เซนติเมตร
การเตรียมกล้า
ใส่ดินผสมในถาดเพาะกล้า (ดินที่ร่อนแล้ว 3 ส่วน ปุ๋ยคอก 1 ส่วน ทรายหรือแกลบ 1 ส่วน) รดน้ำ และหยอดเมล็ดลงในถาดหลุม หลุมละ 1 เมล็ด รดน้ำเช้า-เย็น
วิธีปลูก
ขุดหลุมปลูกลึกประมาณ 10-20 เซนติเมตร นำกล้ามะเขือยาวที่มีอายุ 15 วัน หรือมีใบจริง 3-4 ใบมาปลูกตามหลุมที่กำหนด กลบดินและรดน้ำ

การดูแลรักษา
การให้น้ำสม่ำเสมอ หลังย้ายกล้าทุกเช้า-เย็น เมื่อกล้าตั้งตัวดีแล้วจึงรดน้ำเพียงวันละ1ครั้ง
การใส่ปุ๋ย
หลังย้ายปลูก 7-10 วันใส่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 อัตรา 30 กิโลกรัม/ไร่ เพื่อเร่งการเจริญเติบโตใส่ป๋ยสูตร 13-13-21 หรือ 8-24-24 อัตรา 50-100 กิโลกรัม/ไร่โดยทยอยแบ่งใส่ในช่วงออกดอกติดผล ทุก 20 วัน
การเก็บเกี่ยว
อายุการเก็บเกี่ยว 65-70 วัน หรือหลังดอกบาน 7-10 วัน จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้โดยเก็บผลที่มีขนาดพอเหมาะไม่อ่อนหรือแก่เกินไป โดยการเก็บเกี่ยวให้ขั้วติดมากับผลด้วย

การป้องกันกำจัดศัตรูพืชโยชีววิถี
ชนิดศัตรูพืช - หนอนเจาะผล เพลี้ยไฟ ด้วงเต่ามะเขือ
การป้องกัน - ฉีดพ่นด้วยสารสะเดา, BT(ฟลอร์แบค) ใช้น้ำแบบสปริงเกอร์ฉีดพ่นช่วงบ่าย

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือบางกอก รายสัปดาห์
รูปจาก google.com

Thursday, March 18, 2010

ผักชีฝรั่ง

ผักชีฝรั่ง ใช้ส่วนใบอ่อนรับประทาน เป็นผักสดแกล้มกับน้ำพริก ลาบและอาหารประเภทยำ และใช้เป็นเครื่องปรุงต้มยำ เพื่อดับกลิ่นคาวทำให้มีกลิ่นหอม และรสชาติของอาหารดีขึ้น

การปลูก
ระยะปลูก
หว่านเมล็ดระยะ 20 x 20 เซนติเมตร
การเตรียมดิน
ไถดินลึก15-20 เซนติเมตร ตากดินทิ้งไว้ 5-7 วัน แล้วย่อยดินให้ละเอียดและปรับพื้นที่ให้สม่ำเสมอ ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ประมาณ 2,000 กิโลกรัม/ไร่ และปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 30-50 กิโลกรัม/ไร่
วิธีปลูก
- แบบหว่านเมล็ด นำเมล็ดผักชีฝรั่ง แช่น้ำไว้ 1 คืน หว่านให้ทั่วแปลง ควรให้น้ำ 3-5 วัน / ครั้ง
- การแยกกอ ขุดหลุมปลูก ระยะ 20 x 20 เซนติเมตร นำต้นพันธุ์ที่เตรียมไว้มาปลูกระยะตามที่กำหนด

การดูแลรักษา
การให้น้ำ
การปลูกแบบหว่านเมล็ดควรให้น้ำ 3-5 วัน/ครั้ง ระวังอย่าให้น้ำท่วมขัง การแยกกอควรให้น้ำวันละ 2 ครั้ง
การใส่ปุ๋ย
ผักชีฝรั่งอายุ 30 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 25-7-7 อัตรา 30-50 กิโลกรัม/ไร่ หลังจากนั้น 15 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 อัตรา 30-50 กิโลกรัม/ไร่
การพรางแสง
ใช้ตาข่ายพรางแสง ร้อยละ 60-80 จะทำให้ผักชีฝรั่งมีการเจริญเติบโต และใบผักชีฝรั่งที่ยาวขึ้น
การเก็บเกี่ยว
เก็บเกี่ยวเมื่ออายุประมาณ 120 วัน หลังหว่านเม็ด และการแยกกอ 30 วัน นับจากการย้ายกล้า การเก็บผลผลิตถอนทั้งต้นมีรากติดมาด้วย ทยอยเก็บผลผลิตต้นใหญ่ก่อน และทำการล้างดินออกจากรากและตัดแต่งใบที่เสียหรือเป็นโรคทิ้ง

การป้องกันกำจัดศัตรูพืชโดยชีววิถี

ชนิดศัตรูพืช - โรคโคนเน่า
การป้องกัน - ใช้เชื่อราไตรโครเดอร์ม่าโรยโคนต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือบางกอก รายสัปดาห์
รูปจาก google.com

Monday, March 8, 2010

เทคนิคการรดน้ำต้นไม้กระถางแบบประหยัด

เรามาประหยัดเวลาในการรดน้ำต้นไม้สำหรับในอาคารกันเถอะ! การเลี้ยงไม้ประดับในอาคารนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไรนักหนา แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งจะเริ่มต้นเลี้ยงหรือผู้ที่เลี้ยงมานานแล้ว และยังไม่มีความรู้ ความเข้าใจดีพอ อาจประสบปัญหาได้ เพราะการปลูกเลี้ยงไม้ประดับในอาคารนั้น ใช่ว่าจะมีเพียงแค่การรดน้ำและ การให้ปุ๋ยเท่านั้น แต่ยังมีข้อปลีกย่อยต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ที่จะนำท่านไปสู่ความสำเร็จ ในการปลูกเลี้ยง เช่น การเลือกพันธ์ไม้มาปลูกในห้องรับแขกหรือมุมโปรด เราสามารถ สอบถามจากคนขายได้ว่าไม้ชอบอากาศแบบไหน ดูแลยังไง เพราะต้นไม้ต้องการแสง น้ำ อากาศ อุณหภูมิ ความชื้นและอาหาร เช่นเดียวกับต้นไม้ที่อยู่นอกบ้าน เพราะฉะนั้น ก่อนที่คุณจะซื้อต้นไม้เข้ามาประดับภายในบ้าน คุณต้องรู้ถึงความ ต้องการของต้นไม้ว่าต้นไม้ชนิดนั้นต้องการปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตมากน้อย แค่ไหน เพราะต้นไม้แต่ละอย่างย่อมมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้คุณอาจถามมา จากผู้ขายโดยตรงก็ได้ สำหรับเทคนิคที่จะนำมาเสนอในครั้งนี้คือ การให้น้ำต้นไม้ที่ประหยัดเวลาสำหรับ คนที่ไม่มีเวลารดน้ำ หรือ ให้การดูแลที่สม่ำเสมอ

ขั้นตอนการทำ
1. หาขวดแก้ว แก้วน้ำ หรือภาชนะที่สามารถใส่น้ำได้ รูปแบบตามชอบ เลือกขนาดพอเหมาะสมที่จะเอากระถางไม้ประดับมาวางด้านบนได้พอดีดูสวย (กระถางต้นไม้ ต้องไม่เล็กและใหญ่จนเกินไป)
2. ใช้เชือกด้ายดิบขนาดพอประมาณมัดรวมให้ได้ขนาดหลอดน้ำแข็ง (เลือกขนาด ปรับตามขนาดต้นไม้)



3. นำเชือกแช่น้ำให้ชุ่ม เสียบด้านล่างของกระถางต้นไม้ส่วนที่เป็นรูให้ลึก 1.5-2 ซ.ม.
4. เอาน้ำใส่ในแก้วที่เตรียมไว้เกือบเต็ม

5. นำกระถางที่เอาเชือกเสียบไว้มาวางบนแก้ว



วิธีนี้ด้นไม้สามารถดูดน้ำจากจากเชือกที่คอยลำเลียงไปใช้ได้ เพียงคุณคอยสังเกต หากน้ำลดแล้วค่อยเติม สำหรับแก้วด้านล่าง...คุณจะโชว์แก้วหรือดีไซน์ได้ตามใจชอบ เช่น การเพ้นส์สี การห่อ หรือภาชนะเป็นตัวการ์ตูนก็ได้...แค่นี้คุณก็สามารถสร้างสีสัน ให้กับมุมโปรดของคุณได้แล้วค่ะ..แล้วพบกับเทคนิคใหม่ คราวหน้านะค่ะ


ที่มา :เนื้อหา:http://www.gardencenter.co.th

รู้ได้อย่างไร...ว่าต้นไม้ป่วย?

บ่อยครั้งที่คนเรามีอาการเจ็บป่วย บ้างเป็นไข้ บ้างปวดท้อง บ้างก็ปวดหัว ซึ่งอาการทั้งหลาย เราสามารถวินิจฉัยและอาจจะหาซื้อยา
มารับประทานเองได้โดยไม่จำเป็นต้องไปหาพบแพทย์ เช่น เดียวกับอาการป่วยของพืช(Plants) ซึ่งเราก็จะสามารถดูแลรักษาได้ เพียงแต่ต้องรู้จักสังเกตสิ่งผิดปรกติที่เกิด ขึ้น กับต้นไม้(Plants)และหาสาเหตุของอาการผิดปรกตินั้น โดยสาเหตุที่ทำให้ต้นไม้(Plants)
ของคุณเกิดอาการผิดปกติ มีอยู่หลายสาเหตุด้วยกัน ซึ่งสาเหตุที่มักพบบ่อยๆ ได้แก่
1. ได้รับผลกระทบจากการทำลายของแมลง สัตว์ และ ศัตรูพืช
2. โรคพืช
3. วัชพืช
4. การขาดธาตุอาหารและอยู่สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม
5. เกิดจากพิษตกค้างของสารเคมี
ทันทีที่พบว่าสาเหตุของอาการผิดปกตินั้น คืออะไร เราจะต้องทำการป้องกัน หรือกำจัด สาเหตุนั้นในเบื้องต้น เพื่อไม่ให้เกิดการระบาด
โดยเลือกวิธีการที่เหมาะสม อาจไม่จำเป็นต้อง ใช้สารเคมี ก็สามารถป้องกัน และกำจัดอาการผิดปรกตินั้นๆได้

วิธีการสังเกตอาการผิดปกติของพืช(Plants) สามารถทำได้ ดังนี้
1. การทำลายของแมลงศัตรูพืชส่วนใหญ่จะเข้าทำลายกัดกินส่วนของบลำต้น ใบ ยอด ดอก ผล เช่น
1.1. ใบแหว่งลักษณะเหมือนการถูกกัดกิน เกิดจากการกัดกินของแมลงทั่วไป เช่น ตั๊กแตน หนอนผีเสื้อ ด้วงเต่า หอยทาก หรือ พวกด้วง ฯลฯ เบื้องต้นหมั่นสำรวจหาแมลง ถ้าพบให้ใช้วิธีจับ ตัวเต็มวัย หรือไข่มาทำลาย
1.2. ใบแห้งเป็นหย่อม ใบเหลือง เหี่ยวเฉา หรือใบเหลืองซีด เกิดจากเพลี้ยใบ เพลี้ยใบจะทำลาย พืช(Plants) โดยการดูดกินน้ำเลี้ยงจากพืช(Plants)ในบริเวณใบ ยอดอ่อน ดอก ระบาดในช่วงอากาศร้อนและแห้งแล้ง ป้องกันกำจัดโดยการพ่นละอองน้ำในช่วงกลางวัน เพื่อลดระดับความร้อนและเพิ่มความชื้นในอากาศ ใช้สารเคมีฉีดพ่น เช่น คาร์โบซัลแฟน โมโนโครโตฟอส ฟิโปรมิเล
1.3. ใบหรือยอดเจริญผิดปกติ และกลายเป็นสีดำ เกิดจากการทำลายของเพลี้ยอ่อน โดยการดูด น้ำเลี้ยงจากพืช(Plants) แล้วถ่ายมูลเป็นน้ำเหนียว ๆ คล้ายน้ำหวาน ซึ่งต่อมามีเชื้อราอาศัยอยู่กินมูลของเพลี้ยอ่อน ทำให้เกิดโรคเชื้อรา การป้องกันกำจัด ใช้สารเคมีฉีดพ่น เช่น คาร์โบซัลแฟน คาร์บาริล มาลาไธออน
1.4. ใบมีรอยแผลเป็นทางคดเคี้ยวบนแผ่นใบ เกิดจากการทำลายของหนอนชอนใบ จะกัดกิน ทำลายเนื้อใบ การป้องกันกำจัด ใช้กาวดัก หรือแสงไฟแบคไลท์ เพื่อกำจัดตัวแก่ของผีเสื้อ หรือแมลงวัน ที่เป็นแหล่งที่มาของหนอน ใช้สารเคมีฉีดพ่นสลับกัน เช่น เพอร์เมทริน คาร์โบซัลแฟน ฟิโปรนิล ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้หนอน ดื้อต่อสารเคมีที่ใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อย่างไรก็ดี อยากให้ทุกคนเข้าใจว่า โรคหรือแมลงที่เกิดกับต้นไม้(Plants) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ บางกรณีไม่จำเป็นต้องตกใจเกินเหตุ จนต้องนำใช้สารเคมีมาใช้ทุกครั้ง เพียงแต่ หยิบ เด็ด หรือ ตัด ส่วนที่พบการทำลายนั้นทิ้งไปก็สามารถควบคุมไม่ให้เกิดการระบาดรุกลาม ทั้งนี้ยังเป็นวิธีที่ปลอดภัยอีกด้วย


ที่มา :เนื้อหา:http://www.gardencenter.co.th

ปลูกไม้มงคลประจำวันเกิด

วันอาทิตย์ ไม้มงคลประจำวัน คือ มหาลาภ นำโชคลาภมาให้ โป๊ยเซียน ควรจะเป็นสีส้ม หรือสีเหลือง เป็นไม้ที่ปลูกแล้วจะนำโชคลาภมาให้กับผู้ปลูก โกศล - ช่วยคุ้มครองให้อยู่อย่างเป็นสุข จำปา - ไม้นำโชค ชบา - นำความสดใสมาให้ ราชพฤกษ์ หรือคูน – ทำให้มีเกียรติและมีศักดิ์ศรี กุหลาบ - (สีเหลืองและส้ม) หมายถึงความสง่างาม ภาคภูมิ

วันจันทร์ ไม้มงคลประจำวัน คือ ว่าน 4 ทิศ นำทางชีวิตที่ดี วาสนา - มีโชควาสนาเกิดความสุขสมหวังตามปรารถนา โกศล - ช่วยคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข คิดและทำดี มะลิ - สร้างความเป็นมงคล มีจิตใจที่บริสุทธิ์ มีความรักคนทั่วไป ราตรี - เพิ่มความเป็นสิริมงคล กวนอิม - มีฐานะดีร่ำรวย โป๊ยเซียน - นำโชคลาภมาสู่ผู้ปลูก จำปี - ทำให้มีชีวิตรุ่งเรืองการงานก้าวหน้า พลูด่าง - เกิดความเจริญงอกงามในชีวิต แก้ว - คนในบ้านมีความสูงค่า จิตใจใสบริสุทธิ์เหมือนแก้ว มะยม - ทำให้มีผู้นิยมชมชอบ ชะพลู - เสริมสิริมงคล กระถิน - ป้องกันเสนียดจัญไร

วันอังคาร ไม้มงคลประจำวัน คือ เศรษฐีเรือนนอก กุหลาบ - (แดง-ชมพู) เกิดความสุขสบายใจ ความภาคภูมิ สง่างาม โป๊ยเซียน - (แดง-ชมพู) โชคดี อัญชัน - เป็นสิริมงคล โกศล - อยู่เย็นเป็นสุข จิตใจดี เกิดคุณงามความดี เข็ม - (แดง-ชมพู) มองปลอดโปร่ง เกิดความคิดความอ่านที่ดี พญายอ - ชีวิตราบรื่นเป็นสุข

วันพุธ ไม้มงคลประจำวัน คือ เสน่ห์จันทร์ขาว นำมาซึ่งความเมตตา กวนอิม - เกิดสิริมงคลมีฐานะดีเกิดความร่ำรวย วาสนา - มีวาสนา ความสุขความสมหวัง พลูด่าง - เจริญงอกงามในชีวิต โป๊ยเซียน - (สีเหลือง) นำโชคลาภมาให้ กล้วย - ร่มเย็นเป็นสุขสบายใจ ราชพฤกษ์ หรือคูน - ให้ความสดใส ทำให้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี กุหลาบ - (สีเหลือง) สุขสมบูรณ์ในทุกๆ ด้าน โกศล - อยู่เย็นเป็นสุข เกิดความดีงาม ชบา - (ชบาสีเหลือง) ถูกโฉลกกับคนวันพุธ ขจัดอุปสรรค

วันพฤหัสบดี ไม้มงคลประจำวัน คือ ธรณีสาร นำความโชคดีมาให้ มะลิ - มีจิตใจบริสุทธิ์รักผู้คน จำปี - รุ่งเรืองก้าวหน้า ราตรี - เป็นสิริมงคล พุด - มั่นคง แข็งแรงสมบูรณ์ กุหลาบ - (สีขาว) มีความสูงค่า จิตใจบริสุทธิ์

วันศุกร์ ไม้มงคลปะจำวัน คือ ว่าน 4 ทิศ อำนวยโชคมีลาภทั้ง 4 ทิศ กุหลาบ - (แดง-ชมพู) เกิดความสง่างาม ภาคภูมิ อัญชัน - ประสบความสำเร็จในชีวิต เข็ม - (แดง-ชมพู) ชีวิตก้าวหน้าไกด้วยดี ชบา - (แดง-ชมพู) เป็นสิริมงคลขจัดอุปสรรค โกศล - สร้างคุณงามความดี อยู่เย็นเป็นสุข โป๊ยเซียน - นำโชคลาภมาให้

วันเสาร์ ไม้มงคลประจำวัน คือ เศรษฐีในเรือน นำความร่ำรวยมาให้ วาสนา - เกิดโชควาสนา มะลิ - จิตใจบริสุทธิ์ รักผู้คน กวนอิม - ฐานะดีร่ำรวย จำปี - ชีวิตก้าวหน้ารุ่งเรือง จำปา - นำโชค ราชพฤกษ์ หรือคูน - มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มะม่วง - ร่ำรวย

* ไม้มงคลประจำปีเกิด
เกิดปีชวด ต้นกล้วย และต้นมะพร้าว
เกิดปีฉลู ต้นกล้วย และต้นมะพร้าว
เกิดปีขาล ต้นขนุน และต้นรัง
เกิดปีเถาะ ต้นมะพร้าว และต้นงิ้ว
เกิดปีมะโรง ต้นไผ่,ต้นกัลปพฤกษ์,และต้นงิ้ว
เกิดปีมะเส็ง ต้นไผ่ และต้นรัง
เกิดปีมะเมีย ต้นกล้วย และต้นตะเคียน
เกิดปีมะแม ต้นไผ่,ต้นปาริชาด,และต้นทองหลาง
เกิดปีวอก ต้นขนุน
เกิดปีระกา ต้นไผ่,ต้นยางและต้นฝ้าย
เกิดปีจอ ต้นบัวบก และต้นสำโรง
เกิดปีกุน บัวหลวง และต้นบัวบก

ปลูกต้นไม้ตามทิศ
ทิศอุดร(เหนือ) - ส้มป่อย ปลูกไว้ขับไล่ภูตผีปีศาจ และเป็นส่วนประกอบเข้าพิธีทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ - ส้มซ่า มีความเชื่อว่าเป็นการแก้เคล็ดให้ลูกหลานมีชื่อเสียงขจรขจายซู่ซ่าไปทั่วเมือง

ทิศอีสาน(ตะวันออกเฉียงเหนือ) - ทุเรียน โบราณเชื่อว่าหมายถึงความเป็นผู้คงแก่เรียน - ไผ่รวก - มะตูม เป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของฮินดู ความเชื่อใช้ทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ - - ป้องกันเสนียดจัญไร ขับไล่ภูตผีปีศาจ และใช้ในพิธีพุทธาภิเษกต่างๆ พิธีครอบโขนละคร

ทิศบูรพา(ตะวันออก) - ไผ่สีสุก ช่วยพรางแสงแดดยามเช้าด้านตะวันขึ้น ส่วนชื่อนั้นเป็นมงคลนาม หมายถึง ความมั่งมีศรีสุขหรืออยู่เย็นเป็นสุข - กุ่ม เมื่อมั่งมีศรีสุขแล้วก็ให้เก็บเงินไว้ได้เป็นกลุ่มเป็นก้อน มีฐานะเป็นปึกแผ่นมั่นคง - มะพร้าว เป็นต้นไม้ที่มีประโยชน์เป็นที่รู้กันอย่างมาก ทุกส่วนของต้น และยังช่วยพรางแสงแดดยามเช้าได้อีกด้วย

*ทิศอาคเนย์(ทิศตะวันออกเฉียงใต้) - สารภี - ยอ เพื่อหวังให้ผู้อื่นสรรเสริญเยินยอ - กระถิน ด้านความเชื่อนั้นคิดว่าป้องกันความเป็นเสนียดจัญไร ทิศทักษิณ(ทิศใต้) - มะม่วง เคล็ดความเชื่อนั้นคงเป็นการระลึกถึงสวนอัมพวัน เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จไปครั้งพุทธกาล - มะพลับ - ตะโก
* ทิศหรดี(ทิศตะวันตกเฉียงใต้) - พิกุล เป็นไม้ดอกหอมนิยมใช้บูชา - ราชพฤกษ์ ความเชื่อนั้นเป็นมงคลนาม ถือเป็นต้นไม้ประจำชาติ ดอกที่ออกเป็นช่อเหลืองอร่ามเต็มต้น เป็นสัญลักษณ์แห่งพุทธศาสนา คนโบราญใช้ในพิธีสำคัญ - ขนุน ความเชื่อคิดว่าปลูกแล้วจะมีคนสนับสนุนหรืออุดหนุนจุนเจือ - สะเดา แก้ริดสีดวง มีความเชื่อว่ากิ่งและใบสะเดาช่วยป้องกันภูตผีปีศาจ
*ทิศประจิม(ทิศตะวันตก) - มะขาม เพื่อให้คนเกรงขามคร้ามกลัว - มะยม มีว่าเพื่อให้คนนิยม นอกจากนี้ยังเชื่อว่าปลูกเพื่อป้องกันภูตผีมารบกวน นิยมใช้ใบมะยมทั้งก้านจุ่มน้ำมนต์ประพรมผู้คนและบ้านเรือนเพื่อเป็นสิริมงคล - พุทรา เพื่อหวังให้ผู้คนนิยม ทิศพายัพ(ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ) - มะพูด - มะกรูด - มะนาว


ที่มา : www.garden center.co.th

Saturday, January 9, 2010

แตงกวา / แตงร้าน

แตงกวา / แตงร้าน เป็นพืชใช้บริโภคส่วนของผลสด มีอายเก็บเกี่ยวสั้น ผลผลิตต่ิไร่สูง ตลาดมีความต้องการสูงมาก สามารถปลูกได้ตลอดปีและปลูกได้ทุกภาคของประเทศไทย

การปลูก
ระยะปลูก
ระยะปลูกระหว่างต้น 60-80 เซนติเมตร ระหว่างแถว100 เซนติเมตร
การเตรียมดิน
ไถดินให้ลึก 30 - 40 เซนติเมตร ตากดินไว้ ย่อยดินให้ละเอียด หว่านปูนขาวในอัตรา 100 -200 กฺโลกรัม/ไร่ ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก อัตรา2,000กิโลกรัม/ ไร่ และปุ๋ยสูตร 46-0-0 ผสมสูตร 15-15-15 อย่างละเท่าๆกัน อัตรา 30-50 กิโลกรัม/ไร่ คลุกเคล้าในแปลงยกแปลงสูงประมาณ 30 เซนติเมตร กว้าง 120 เซนติเมตร
วิธีปลูก
น้ำเมล็ดหยอดตามหลุม 3-5 เมล็ด กลบดินและรดน้ำ เมื่อกล้างอกมีใบจริง 2-3 ใบ ถอนต้นไม่สมบูรณ์ออกเหลือ 2 ต้น หลังปลูก 14 วัน ควรเด็ดกิ่งแขนง 5 ข้อแรก(ใบ) จากพื้นดินออกแล้วจึงเริ่มปล่อยให้ติดผลหากต้องการคุณภาพที่ดีเถาที่แตกใหม่ ควรควบคุมให้มี 2 ข้อ โดยตัดเหนือข้อที่ 2 ผลผลิตจะทยอยออกสม่ำเสมอ

การดูแลรักษา
การให้น้ำ
พืชตระกลูแตงต้องการน้ำมาก สำหรับการเจริญเติบโตของลำต้นและผลตลอดอายุการปลูก แต่การให้น้ำมากเกินไปจะทำให้ผลผลิตและขนาดของผลลดลง เนื่องจากน้ำจะชะล้างปุ๋ยไปจากบริเวณรากจำนวนครั้งในการให้น้ำขึ้นอยู่กับชนิดและลักษณะของดิน
การทำค้าง
การทำค้างรูปสามเหลี่ยม(กระโจม) สูง 1.80-2.0 เมตร ควรทำการปักไมเค้างหลังปลูกไม่เกิน7 วัน หากทำช้าอาจจะปักไม้ค้างโดนราก ทำให้รากขาด กระทบต่อการเจริญเติบโตของพืช
การใส่ปุ๋ย
หลังปลูก7-15 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 อัตรา 30 กิโลกรัม / ไร่ เพื่องเร่งการเจริญเติบโตและผลผลิต จึงควรให้เก็นระยะๆ หลังจากใส่ปุ๋ยครั้งแรก 15-20วัน ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 ผสมปุ๋ยสูตร 15-15-15 สัดส่วน1-2 อัตรา30-50 กิโลกรัม/ไร่ สำหรับในช่วงออกดอก-ติดผลให้ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 อัตรา 30 กิโลกรัม / ไร่ โดยใส่ทุกๆ 10 วัน
การเก็บเกี่ยว
เก็บเกี่ยวผลแตงกวาในขณะเมล็ดภายในยังอ่อน หรือเก็บในขณะที่สีของผลเปลี่ยนจากสีเขียวอ่อนเป็นสีเขีวเข้ม หรือเก็บในขณะที่เปลือกยังอ่อน อย่าปล่อยให้ผลแก่คาต้น เพราะจะทำให้ผลผลิตลดลง ระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวประมาณ 5 เดือน และจะเก็บเกี่ยวได้ประาณ 100 ผลต่อต้น โดยทั่วไปแตงจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้หลังจากหยอดเมล็ด 30 -35 วัน และจะเก็บเกี่ยวหลังจากดอกบาน 10-20วัน

การป้องกันศัตรูพืชโดยชีววิถี

ชนิดศัตรูพืช - โรคราน้ำค้าง
การป้องกัน - ฉีดพ่นหรือโรยโคนต้นด้วยเชื้อไตรโครเดอร์ม่าในระยะเริ่มต้น, ฉีดพ่น BS (บาซิลลัสซับทิลิส) เก็บใบที่เป็นโรคทิ้ง

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือบางกอก รายสัปดาห์
รูปจาก google.com

ฟักเขียว / แฟง


ฟักเขียว / แฟง เป็นพืชทีี่ใช้บริโภคส่วนของผล สามารถเจริญเติบโตได้ในดินแทบทุกชนิด ชอบดินร่วนปนทราย แดดจัด สามารถประกอบอาหารได้หลายแบบทั้งอาหารคารและอาหารหวาน

การปลูก
ระยะปลูก
ระหว่างแถว 1-1.50 ระหว่างต้น 2-2.50 เมตร เป็นพืชที่ต้องการพื้นที่ปลูกมาก
การเตรียมดิน
ไถดินลึกประมาณ 25-30 เซนติเมตร ตากดินทิ้งไว้ 1-2 อาทิตย์ แล้วย่อยดินให้ละเอียด หว่านปูนขาวประมาณ 100-300 กิโลกรัม / ไร่ ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 2,000-2,500 กิโลกรัม / ไร่ ใส่ปุ๋ยสูตร 15 -15 -15 อัตรา 30 - 50 กิโลกรัม/ไร่ คลุกเคล้าให้เข้ากัน
วิธีปลูก
หลังเตรียมแปลงปลูก และขลุดหลุมปลูกตามระยะที่กำหนด แล้วหยอดเมล็ด 2 - 3 เมล็ด / หลุม ลึกประมาณ 3-5 เซนติเมตร แล้วกลบหลุมหรือคลุมด้วยฟางแห้ง เพื่อรักษาความชื้นของดิน และรดน้ำสม่ำเสมอทุกวัน อายุ 10 - 14 วัน หรือมีใบจริง 2 - 4 ใบ ควรถอนแยกเหลือ 2 ต้นต่อหลุม

การดูแลรักษา
การให้น้ำ
ควรให้น้ำสม่ำเสมอและเพียงพอ ไม่ควรให้ฟักเขียวและแฟงขาดน้ำ โดยเฉพาะระยะออกดอกและติดผล เพราะจะทำให้ดอกร่วง และไม่ติดผล เมื่อใกล้อายุการเก็บเกี่ยวควรเลิกการให้น้ำ( 15 วัน ก่อนเก็บผลผลิต)
การใส่ปุ๋ย
อายุ 7-10 วันหลังงอกใส่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 อัตรา 30 - 50 กิโลกรัม / ไร่ สำหรับในช่วงออกดอกใส่ปุ๋ยสูตร 15 - 15- 15 และช่วงติดผลใส่ปุ๋ยสูตร 13 -13 -21 หรือสูตรใกล้เคียง อัตรา 30-50- กิโลกรัม / ไร่ โดยทยอยใส่
การทำค้าง
เมื่อฟักเริ่มเลื้อยหรือมีอายุแระมาณ 15-20 วัน ควรทำค้างหรือร้านเพื่อให้เลื้อยเกาะขึ้นไปปักไม้ค้างยาว 2-2.50 เมตร แล้วเอนปลายเข้าหากัน จากนั้นใช้ไม้ค้างพาดขวางประมาณ 2-3 ช่วง ช่วงละ 40-50 เซนติเมตร หรือทำเป็นค้างผูกเป็นร้านสูงประมาณ 1.5-2.0 เมตร เพื่อให้เหมาะสมและสะดวกต่อการทำงาน นอกจากนี้อาจใช้ค้างธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว เช่น ไม้พุ่มเล็กๆรั่วบ้าน ซึ่งเหมาะสำหรับการปลูกผักสวนครัว
การเก็บเกี่ยว
หลังหยอดเมล็ดจนถึงอายุการเก็บเกี่ยว 60-70 วัน หรือสังเกตได้จากผลว่าเริ่มมีไขสีขาวจับผลโดยใช้มีดคมๆตัดที่ขั้วของผล การเก็บควรเหลือขั้วติดไว้ด้วย เพื่อช่วยให้เก็บรักษาได้นานขึ้น

การป้องกันกำจัดศัตรูพืชโดยชีววิถี
ชนิดศัตรูพืช - ด้วงเต่าแตงแดง หนอนใยผัก หนอนกระทู้ผัก
การป้องกัน - ฉีดพ่นด้วยสะเดา,ยาสูบ


ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือบางกอก รายสัปดาห์
รูปจาก google.com